หลังให้สัมภาษณ์ดุเดือดกว่า 7 นาทีที่ เอลแลนด์ โร้ด จนกลายเป็นชนวนแตกหักความสัมพันธ์กับสโมสร และเป็นบททดสอบครั้งสำคัญต่ออนาคตของ อาร์เน่ สลอต ผู้จัดการทีมที่กำลังโดนความกดดันถาโถมอย่างหนัก

ซาลาห์ไม่เพียงแค่ไม่พอใจการถูกดร็อปเป็นสำรองสามนัดติด แต่ยังใช้เวทีสื่อโจมตีทั้งผู้บริหาร สลอต และเพื่อนร่วมทีมแบบตรงไปตรงมา เขากล่าวหาว่า “ถูกลิเวอร์พูลโยนให้รถทับ” จากการที่ผลงานทีมตกต่ำ จนทำให้หลายฝ่ายต้องตกอยู่ในแรงกดดันร่วมกับเขาด้วย

คำพูดที่แรงและเฉียบคมของซาลาห์ ถูกมองว่าเป็นการคำนวณอย่างรอบคอบ ไม่ใช่อารมณ์ชั่ววูบ เพราะที่ผ่านมา ทุกครั้งที่เขาเลือกจะพูดต่อสื่อมักเป็นการส่งสัญญาณเรียกความสนใจหรือกดดันสโมสร เช่น ในช่วงต่อรองสัญญา แต่ครั้งนี้เขาอาจ “เล่นเกินเกม” จนทำให้สถานการณ์ระอุหนักกว่าเดิม

ซาลาห์เผยว่าเขาไม่มีความสัมพันธ์ใด ๆ กับสลอตอีกต่อไป ทำให้ตำแหน่งของเฮดโค้ชชาวดัตช์ยิ่งสั่นคลอน ขณะที่ผู้บริหารอย่าง ริชาร์ด ฮิวจ์ส และ ไมเคิล เอ็ดเวิร์ดส์ ก็ถูกโยงด้วย หลังซาลาห์อ้างว่ามีคนในสโมสรต้องการให้เขาย้ายออก ทั้งที่เจ้าตัวเพิ่งต่อสัญญาและยังมีค่าจ้างสูงกว่า 32 ล้านปอนด์ตลอด 19 เดือนที่เหลือ

ประเด็นนี้ยังทำให้ซาลาห์ถูกมองว่า “หักหลังเพื่อนร่วมทีม” โดยเฉพาะเมื่อกล่าวอ้างว่าเขาควรได้ลงเล่นก่อนใคร ทั้งที่ฟอร์มของ โดมินิค โซบอสซ์ไล และคำพูดของ เวอร์จิล ฟาน ไดค์ ก่อนเกมล้วนชี้ชัดว่าทุกคนต้องพิสูจน์ตัวเองในสนาม

ลิเวอร์พูลเตรียมพิจารณามาตรการตอบโต้ และมีแนวโน้มสูงว่าซาลาห์อาจถูกตัดชื่อจากเกมยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกกับอินเตอร์ มิลาน รวมถึงนัดพบไบรท์ตัน สุดสัปดาห์นี้ เพื่อรักษาอำนาจของสลอตในห้องแต่งตัว

อย่างไรก็ตาม เสียงเรียกร้องให้ขายซาลาห์เริ่มดังขึ้นอีกครั้ง โดยซาอุดีอาระเบียยังคงให้ความสนใจอย่างหนัก หลังเคยยื่นข้อเสนอ 150 ล้านปอนด์เมื่อปี 2023 และเงินก้อนโตอาจช่วยลิเวอร์พูลเสริมทัพในเดือนมกราคม โดยหนึ่งในเป้าหมายที่มีข่าวคือ อองตวน เซเมนโย่ ของบอร์นมัธ ที่มีค่าฉีกสัญญา 65 ล้านปอนด์

แม้ซาลาห์จะยังคงเป็นตำนานของลิเวอร์พูลไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร แต่คำสัมภาษณ์ครั้งนี้ถูกมองว่าเป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบยุค “คิง ออฟ แอนฟิลด์” และอาจเป็นการปิดฉากความสัมพันธ์ระหว่างซูเปอร์สตาร์อียิปต์กับสโมสรแบบไม่สวยงาม

ท้ายที่สุด คำพูดของเขาที่ว่า
“มันต้องจบลงสักวัน แต่ทำไมต้องจบแบบนี้?”
อาจได้รับคำตอบว่า… เพราะเขาเป็นคนเลือกทำให้มันเป็นเช่นนั้นเอง.