เสียงเชียร์ “อาร์เน่ สลอต” ดังสนั่นแอนฟิลด์ ทั้งตอนนำและก่อนขึ้นนำ สะท้อนความเชื่อมั่นในตัวกุนซือดัตช์ในช่วงเวลาสำคัญ

เกมเริ่มต้นด้วยความกดดันทางฝั่งเจ้าถิ่น แต่ลิเวอร์พูลที่ช่วงหลังมักเสียประตูก่อน เกือบโดนนำตั้งแต่ 5 นาทีแรกเมื่อ มอร์แกน โรเจอร์ส ปั่นชนเสา อย่างไรก็ตาม “แชมป์เก่า” ค่อยๆ ครองจังหวะเกมและสร้างโอกาสต่อเนื่อง โดย โดมินิค โซบอสซ์ไล โชว์พลังขับเคลื่อนเกมแดนกลาง ขณะที่ซาลาห์ปั่นป่วนแนวรับทีมเยือนแทบตลอด

ก่อนหมดครึ่งแรก อีมิเลียโน่ มาร์ติเนซ นายด่านวิลล่าทำพลาดจ่ายบอลผิดไปเข้าทางซาลาห์ ดาวยิงอียิปต์ไม่เหลือซาก ส่งบอลเข้าประตูเป็น 1-0 และกลายเป็นประตูประวัติศาสตร์ของเจ้าตัวกับสโมสร

ครึ่งหลัง วิลล่าเกือบตีเสมอจากลูกยิงของ แม็ตตี้ แคช ที่ชนคาน แต่ความผิดพลาดแนวรับทีมเยือนก็ซ้ำเติมตัวเองอีกครั้ง นาที 59 มาร์ติเนซออกบอลเสี่ยง ถูกลิเวอร์พูลตัดได้ ก่อนกราเวนเบิร์ชยิงไกลแฉลบสองจังหวะเข้าประตู เป็น 2-0 ปิดเกมแบบเด็ดขาด

แม้ลูกโหม่งของ ฮูโก้ เอกิติเก้ จะโดน VAR ริบคืนจากล้ำหน้า แต่ลิเวอร์พูลก็ยังควบคุมเกมไว้ได้หมดจด เก็บคลีนชีตแรกในรอบ 11 นัด พร้อมเรียกความมั่นใจคืนก่อนเจองานหนักอย่าง เรอัล มาดริด และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในสัปดาห์ถัดไป

ชัยชนะครั้งนี้ทำให้ลิเวอร์พูลขยับขึ้นอันดับ 3 ขณะที่วิลล่าพลาดโอกาสเก็บแต้มจากความผิดพลาดของตัวเอง ส่งสัญญาณว่าแอนฟิลด์กลับมาเป็นป้อมเหล็กอีกครั้งหลังช่วงเวลาวิกฤต