ถอดบทเรียนจากสองเกมเดือด แมนฯ ยูไนเต็ด–ไบรท์ตัน และ เบรนท์ฟอร์ด–ลิเวอร์พูล จุดเปลี่ยนจากการตัดสินของผู้ตัดสิน
สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เกิดเสียงวิจารณ์อย่างหนักต่อการทำหน้าที่ของผู้ตัดสินในสองเกมพรีเมียร์ลีก ได้แก่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พบ ไบรท์ตัน และ เบรนท์ฟอร์ด พบ ลิเวอร์พูล — แต่แท้จริงแล้ว ทั้งสองนัดต่างมีจังหวะให้เรียนรู้มากมายเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และกระบวนการตัดสินในสนาม
กรณีที่ 1: ใบเหลืองของดอร์กู — “สุดท้ายแล้วไม่ใช่แค่เรื่องของ ‘กองหลังคนสุดท้าย’”
ในเกมที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด จังหวะที่ แพทริก ดอร์กู ของแมนฯ ยูไนเต็ด ถูกใบเหลืองจากการทำฟาวล์ ยันกูบา มินเทห์ ของไบรท์ตัน ทั้งที่ดูเหมือนว่าฝั่งทีมเยือนจะได้หลุดเดี่ยว ทำให้แฟนบอลจำนวนมากตะโกนว่า “ต้องโดนแดงสิ เขาเป็นกองหลังคนสุดท้าย!”
อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นความเข้าใจผิด เพราะการเป็น “คนสุดท้าย” ไม่ได้หมายความว่าต้องถูกไล่ออกเสมอไป การพิจารณาโทษแดงจากการตัดโอกาสทำประตู (DOGSO) จะขึ้นอยู่กับ 4 ปัจจัยหลัก คือ
ระยะห่างจากประตู
การครอบครองบอลของผู้เล่นฝ่ายรุก
ทิศทางการเคลื่อนที่
จำนวนผู้เล่นฝ่ายรับที่อยู่ในตำแหน่งครอบคลุม
ในจังหวะนี้ บอลกำลังกลิ้งเข้าหาผู้รักษาประตู เซนเน่ แลมเมนส์ ซึ่งมีโอกาสสูงจะควบคุมบอลได้ก่อนมินเทห์ ทำให้โอกาสยิงประตูไม่ “ชัดเจน” พอ ดังนั้น ใบเหลืองจึงเป็นคำตัดสินที่ถูกต้อง และคำว่า “กองหลังคนสุดท้าย” ไม่มีผลในเกณฑ์นี้เลย
กรณีที่ 2: ลุค ชอว์ ดึงเสื้อหรือไม่ก่อนประตูของเอ็มเบวโม่
อีกจังหวะในเกมเดียวกันคือช่วงต้นเกมที่สามของยูไนเต็ด เมื่อ ลุค ชอว์ ดูเหมือนจะดึงเสื้อ จอร์จินิโอ รูตเทอร์ จนเสียจังหวะ แต่ผู้ตัดสิน แอนโธนี เทย์เลอร์ ไม่เป่าฟาวล์
จากภาพรีเพลย์จะเห็นได้ว่า มีการดึงจริงแต่ “สั้นและไม่ต่อเนื่อง” และรูตเทอร์ก็ล้มลงแบบเกินจริงเพื่อหวังเรียกฟาวล์ เทย์เลอร์ที่อยู่ในมุมมองชัดเจนจึงเลือก “ปล่อยให้เล่นต่อ” ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ ที่เน้นให้ลงโทษเฉพาะจังหวะที่มีการดึงหรือผลักอย่างต่อเนื่องเท่านั้น
VAR ได้ตรวจสอบจังหวะดังกล่าวในขั้นตอนของ “การตรวจสอบก่อนประตู (Attacking Phase of Play – APP)” อย่างรวดเร็ว และยืนยันว่าไม่มีการทำฟาวล์ที่ชัดเจนก่อนประตูของ ไบรอัน เอ็มเบวโม่ ทำให้ประตูถูกให้ตามเดิม
กรณีที่ 3: จุดโทษและ VAR เกมเบรนท์ฟอร์ด–ลิเวอร์พูล
ในเกมระหว่าง เบรนท์ฟอร์ด กับ ลิเวอร์พูล มีสองเหตุการณ์สำคัญที่กลายเป็นประเด็นถกเถียง
จังหวะแรก: โคดี้ กัคโป ล้มในเขตโทษ
ในช่วงต้นเกม กัคโปล้มลงในกรอบเขตโทษหลังเผชิญหน้ากับ เจมส์ คอลลินส์ ปราการหลังเจ้าถิ่น แต่จากภาพชัดเจนว่า คอลลินส์ไม่ได้พยายามสกัด เพียงแค่ยืนดักทาง ขณะที่กัคโปล้มลงง่ายและแสดงท่าทีราวกับถูกทำฟาวล์
แม้จะไม่ถึงขั้นสมควรได้จุดโทษ แต่คำถามคือ “ควรถูกใบเหลืองฐานพยายามพุ่งล้มหรือไม่?” — นี่คือจุดละเอียดของกฎ เพราะผู้ตัดสินต้องประเมินว่า ผู้เล่น “พยายามหลบการปะทะ” หรือ “ตั้งใจสร้างการปะทะ” ซึ่งทั้งหมดเกิดขึ้นในเสี้ยววินาที สำหรับจังหวะนี้ หากผู้ตัดสินให้ใบเหลืองฐานพุ่งล้มก็ถือว่าไม่ผิดเช่นกัน เนื่องจากการล้มของกัคโปมีความ “เกินจริง” อย่างเห็นได้ชัด
จังหวะสอง: การเปลี่ยนกรรมการและจุดโทษของเบรนท์ฟอร์ด
ครึ่งหลังมีเหตุการณ์สำคัญเมื่อผู้ตัดสิน ไซมอน ฮูเปอร์ ต้องออกจากเกม และให้ ทิม โรบินสัน ที่เป็นผู้ตัดสินที่ 4 ลงมาทำหน้าที่แทน
เพียง 15 นาทีหลังเริ่มครึ่งหลัง โรบินสันเป่าให้เบรนท์ฟอร์ดได้ฟรีคิก หลัง เวอร์จิล ฟาน ไดค์ เตะเข้าที่ปลายเท้าของ ดองโก อูอัตตาร่า ซึ่ง VAR ตรวจสอบทันทีว่าเป็นจังหวะฟาวล์ในเขตโทษหรือไม่
ผลตรวจพบว่าการปะทะเกิดขึ้น “บนเส้นกรอบเขตโทษ” — และตามกฎ เส้นถือเป็นส่วนหนึ่งของเขตโทษ ดังนั้นจังหวะนี้จึงเป็น “ลูกโทษ” โดยไม่จำเป็นต้องให้ผู้ตัดสินไปดูจอมอนิเตอร์ เนื่องจากเป็น “ข้อเท็จจริง (factual decision)” ไม่ใช่เรื่องการตีความ
โรบินสันอธิบายเหตุผลให้แฟนบอลในสนามทราบอย่างชัดเจน ก่อนจะชี้เป็นจุดโทษให้เบรนท์ฟอร์ดตามกติกา
สรุป การตัดสินที่เป็น “บทเรียน” มากกว่าความผิดพลาด
แม้ทั้งสองเกมจะถูกวิจารณ์อย่างหนัก แต่หากมองในเชิงเทคนิค จะเห็นได้ว่าผู้ตัดสินปฏิบัติตามกฎและแนวทางของพรีเมียร์ลีกอย่างถูกต้องเกือบทุกจังหวะ — ตั้งแต่การประเมินโอกาสทำประตู การปล่อยเล่นต่อในกรณีฟาวล์เล็กน้อย ไปจนถึงการใช้ VAR ในการชี้ขาดจุดโทษอย่างเป็นระบบ
สุดท้ายแล้ว สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า “เสียงบ่นของแฟนบอล” และ “การตัดสินของผู้ตัดสิน” มักไม่ตรงกันเสมอไป — และในยุคที่ฟุตบอลมีเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้องมากขึ้น ความเข้าใจกฎอย่างละเอียดคือสิ่งที่แฟนบอลทุกคนควรเรียนรู้ไปพร้อมกับเกม.