อาร์เตต้าเรียนรู้ได้ แต่เวลาไม่เคยรอใคร

ศึกบิ๊กแมตช์พรีเมียร์ลีกระหว่าง อาร์เซนอล และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กลายเป็นเกมสุดดราม่าอีกครั้ง หลัง “ปืนใหญ่” ไล่ตามตีเสมอได้ในช่วงทดเวลา จากลูกยิงสุดสวยของ กาเบรียล มาร์ติเนลลี ช่วยทีมเก็บผลเสมอ 1-1 ที่เอมิเรตส์ สเตเดียม แต่เบื้องหลังผลการแข่งขันยังทิ้งคำถามต่อการเลือกทีมและแท็กติกของ มิเกล อาร์เตต้า
เกมนี้เริ่มต้นไม่สวยสำหรับเจ้าถิ่น เมื่อซิตี้ได้ประตูนำตั้งแต่นาทีที่ 8 จากการประสานงานอันยอดเยี่ยมของ เออร์ลิง ฮาแลนด์ กับ ทิจานี่ เรย์น์เดอร์ส ก่อนที่ดาวยิงนอร์เวย์จะหลุดไปยิงอย่างเยือกเย็น ส่งทีมเยือนนำ 1-0 ตามแผนที่ เป๊ป กวาร์ดิโอลา วางไว้เพื่อโจมตีช่องว่างแดนกลางของอาร์เซนอล
อาร์เซนอลช่วงครึ่งแรกดูขาดความเฉียบคมในแดนกลาง โดยไม่มี มาร์ติน โอเดการ์ด ที่บาดเจ็บ ขณะที่อาร์เตต้าเลือกใช้สามมิดฟิลด์อย่าง ซูบิเมนดี–ไรซ์–เมรีโน่ ซึ่งเน้นการควบคุมเกมมากกว่าการสร้างสรรค์ ทำให้รูปเกมติดขัดและไม่สามารถกดดันซิตี้ได้เต็มที่
ครึ่งหลัง อาร์เตต้าเปลี่ยนแผน กล้าส่งตัวรุกลงมาหลายคนเพื่อเปิดเกมบุกเต็มกำลัง กระทั่งช่วงทดเจ็บ นาทีที่ 90+... เอเบเรชี่ เอเซ่ เปิดบอลให้มาร์ติเนลลีที่เพิ่งลงสนามนาที 80 หลุดเข้าไปชิพลอยข้ามหัว จานลุยจิ ดอนนารุมมา อย่างเหนือชั้น กลายเป็นประตูตีเสมอสุดดราม่า
บรรยากาศในสนามระเบิดขึ้นทันที แฟนบอลอาร์เซนอล แสดงอารมณ์ดีใจเหมือนปลดล็อก แต่เมื่อมองในภาพรวม ทีมของอาร์เตต้ายังมีปัญหาเดิมคือเริ่มเกมช้าเกินไป และมักต้องเร่งเครื่องช่วงท้าย ขณะที่ตารางคะแนนยังตามหลังแชมป์เก่า 5 แต้ม
อาร์เตต้าออกมายืนยันหลังเกมว่า การเลือก 11 ตัวจริงไม่ได้เป็นการ “เน้นยันสกอร์” อย่างที่ถูกวิจารณ์ แต่คำถามยังคงอยู่ — ทำไมไม่กล้าเดินเกมรุกตั้งแต่ต้น โดยเฉพาะในเกมใหญ่ที่ต้องการชัยชนะเพื่อกดดันคู่แข่งลุ้นแชมป์
แม้ผลงานการแก้เกมของอาร์เตต้าจะทำให้ซิตี้เล่นได้อย่างลำบากที่สุดนับตั้งแต่เป๊ปเข้ามาคุม แต่ในโลกฟุตบอลที่ตัดสินกันด้วยผลลัพธ์ ความผิดพลาดเล็กน้อยอาจหมายถึงการเสียแชมป์ได้ ความท้าทายสำหรับอาร์เตต้าคือการเรียนรู้และปรับตัวโดยไม่ให้เสียเวลาไปมากกว่านี้ เพราะฤดูกาลและการลุ้นแชมป์ไม่เคยหยุดรอใคร.

