โดมินิค โซบอสซ์ไล ซัดฟรีคิกสุดงามนาที 83 พาหงส์เฉือนปืน 1-0
หาก ลิเวอร์พูล จะป้องกันแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จในฤดูกาลนี้ พวกเขาอาจย้อนกลับมานึกถึงฟรีคิกสุดมหัศจรรย์ของ โดมินิค โซบอสซ์ไล ในนาทีสุดท้ายที่ยิงดับความหวังของ อาร์เซนอล และส่งหงส์แดงขึ้นจ่าฝูงอย่างเต็มภาคภูมิ
1เกมนี้เป็นการเจอกันระหว่างสองทีมที่มีสถิติชนะรวด 100% ก่อนเริ่มแข่ง ความระมัดระวังและความกลัวแพ้ทำให้ทั้งสองฝั่งเล่นอย่างรัดกุม โดยเฉพาะฝั่งอาร์เซนอลที่ มิเกล อาร์เตต้า เน้นเกมรับจัดเต็ม เขาเลือกใช้ มิเกล เมริโน่ เล่นเป็นเพลย์เมกเกอร์ แทนที่ มาร์ติน โอเดการ์ด ที่ยังไม่ฟิตเต็มที่ ขณะที่ เอเบเรชี่ เอเซ่ ก็ถูกดรอปไว้บนม้านั่งเช่นกัน ซึ่งถือเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์
อาร์เตต้ารู้ดีว่าเกมนี้จะอึดอัด เขาหวังว่าทีมจะสร้างโอกาสจากลูกตั้งเตะได้ แต่สุดท้ายเขาต้องอกหัก เมื่อโซบอสซ์ไลลุกขึ้นมาส่งบอลฟรีคิกจากระยะกว่า 30 หลา โค้งผ่านกำแพง หมุนแรงตกเร็ว และมุดเสียบเสาแรกอย่างสุดสวย ดาบิด รายา ได้แต่ยืนมองบอลเข้าประตูไป
แม้จะเป็นเพียงเกมในเดือนสิงหาคม แต่จังหวะนี้อาจกลายเป็นหนึ่งในโมเมนต์สำคัญของฤดูกาลสำหรับลิเวอร์พูล ซึ่งยังมีข่าวว่าอาจปิดดีลใหญ่เพิ่มทั้ง อเล็กซานเดอร์ อิซัค และ มาร์ค เกฮี ก่อนตลาดปิด โดยยอดใช้จ่ายอาจแตะถึง 500 ล้านปอนด์
อาร์เซนอลเล่นได้ดีกว่าในครึ่งแรก แม้ไม่ได้สร้างโอกาสจะแจ้งมากนัก เช่นเดียวกับลิเวอร์พูล แต่ครึ่งหลัง หงส์แดงกลับมาเร่งเครื่องโดยได้แรงเชียร์จากเดอะ ค็อปอย่างเต็มที่
โซบอสซ์ไล ซึ่งต้องถอยมายืนแบ็กขวาแทน เยเรมี ฟริมปง ที่บาดเจ็บ เป็นคนทำประตูชัย พร้อมพาทีมเก็บ 3 แต้มสำคัญ หลังจากที่ก่อนหน้านั้น แมนฯ ซิตี้ พ่ายต่อ ไบรท์ตัน ทำให้ลิเวอร์พูลแซงขึ้นจ่าฝูงแบบมีช่องว่าง
ฝั่งอาร์เซนอลยังไม่ชนะในแอนฟิลด์ในลีกมาตั้งแต่กันยายน 2012 ซึ่งในวันนั้น อาร์เตต้ายังเป็นผู้เล่นอยู่ โดยเกมนี้พวกเขาเจอปัญหาเมื่อ วิลเลียม ซาลิบา เจ็บข้อเท้าตั้งแต่ต้นเกม เช่นเดียวกับฝั่งหงส์ที่เสียทั้ง อิบราฮิมา โกนาเต้ และ ฟลอเรียน เวิร์ตซ์ ไปเพราะอาการบาดเจ็บเช่นกัน
ครึ่งแรกอาร์เซนอลพยายามเล่นจากแนวรับอย่างมีระบบ โดยมี มาร์ติน ซูบีเมนดี้ เด่นชัดในแดนกลาง และใช้ความเร็วของ โนนี่ มาดูเอเก้ เจาะทางริมเส้นฝั่งขวา แต่ มิลอส เคอร์เคซ ยังตามบล็อกได้ในจังหวะสำคัญ
ครึ่งหลัง ลิเวอร์พูลค่อยๆ ปลดล็อกเกมรุก โดย อาร์เน่ สลอต ให้ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ และ ไรอัน กราเวนเบิร์ช ลงเล่นร่วมกันครั้งแรกในแดนกลาง ซึ่งช่วยเพิ่มมิติได้ชัดเจน
มีจังหวะหนึ่ง เวิร์ตซ์ ยิงเรียดติดเซฟรายา บอลเด้งมาหา โคดี้ กัคโป แต่โดนเสียบล้มลง แม้ดูเหมือนจะเป็นจุดโทษ แต่ VAR ชี้ว่า กัคโปล้ำหน้า ไปก่อน
อาร์เซนอลเปลี่ยนโอเดการ์ดกับเอเบเรชี่ เอเซ่ ลงมานาที 70 เพื่อยื้อเกม แต่สุดท้ายต้องยอมรับชะตาเมื่อโซบอสซ์ไลบรรเลงฟรีคิกประตูชัยสุดอลังการ พาลิเวอร์พูลขึ้นจ่าฝูง และส่งข้อความชัดเจนถึงทุกทีมในลีก